บิ๊กตู่ลั่น อย่าคิดสั้นๆ ให้ตัดงบความมั่นคง เดี๋ยวเจอเองแล้วจะรู้ ก่อนทิ้งท้ายด้วยบทกลอน

194
แชร์ข่าวนี้

นายกรัฐมนตรี ชี้แจงชื้อเรือดำน้ำเพื่อปกป้องประเทศ อย่าคิดว่าไม่มีสงครามอีก ขออย่าคิดสั้น ให้เจอเองแล้วจะรู้ ลั่นไม่ชอบตนไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ชอบประเทศของท่านไม่ควร

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรื่องด่วนญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 10 คน วันที่ 2 เริ่มต้นด้วยประเด็นร้อนแรงอย่างการจัดซื้อเรือดำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงว่าพูดมาหลายปีแล้ว วันนี้นำมาพูดอีก ต้องแยกแยะสถานการณ์ โควิด กับ ความมั่นคง ต้องแยกออกจากกัน วันนี้คนมีหลายระดับ มีความเท่าเทียมเสมอภาค

พร้อมถามกลับว่า ทำไมต้องชื้อเรือดำน้ำ ก็เพื่อศักยภาพของประเทศ ในการปกป้องท้องทะเลไทย รวมถึงการแก้ปัญหากระบวนการค้ามนุษย์ ที่สำคัญสงครามอาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะการแย่งชิงดินแดน นายกรัฐมนตรี ยังระบุว่า เราต้องภูมิใจในความเป็นชาติ ยามศึกเรารบ ยามสงบเราก็พร้อม วันนี้ในอาเซียนมี 18 ลำ ประเทศเพื่อนบ้านมีเยอะ แต่ประเทศไทยไม่มีเรือดำน้ำมา 69 ปีแล้ว และการจ่ายเงินก็จ่ายเป็นงวด ไม่ได้จ่ายทั้งหมด

อย่าคิดสั้นๆในการตัดงบ

ส่วนที่ถามว่า ทำไมจึงไม่ตัดงบความมั่นคงออกบ้าง ทั้งๆ ที่ไม่มีการสู้รบกันอีกแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ที่มีความสงบได้ เพราะประเทศไทยมีขีดความสามารถ ประเทศไทยมีการพัฒนาตลอด ดังนั้นขอ “อย่าคิดสั้นๆ ให้เจอเองแล้วจะรู้ว่าจะอยู่กันอย่างไรในวันข้างหน้า” ทุกวันนี้มีผลการต้องผ่อนชำระเรื่องจำนำข้าว กว่า 705,000 ล้านบาท ต้องตั้งงบชดใช้ไปอีก 12 ปี ซึ่งน่าเสียดายงบประมาณ

ขณะที่ปัญหาหนี้สาธารณะรัฐบาลต้องรักษา แต่ไม่ควรที่รัฐจะต้องแบกแบบนี้ทุกรัฐบาล เพราะเงินมาจากภาษีประชาชนทั้งสิ้น รัฐบาลไม่อยากรีดภาษีจากใคร มาตรการเยียวยาที่ออกมาเป็นเพียงแค่ให้คนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ซึ่งโครงการคนละครึ่งถือเป็นการต่อยอด เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนการใช้เงินในระบบ ทุกคนอาจจะต้องอยู่อย่างพอเพียง เงินกว่า 500,000 ล้านบาท ก็เป็นเงินเอามาช่วยประชาชน

คนไทยชอบติง-ต่างชาติชื่นชม

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง มาตรการเยียวยา อย่าง ” ไทยชนะ ” ว่า ใครแพ้ หรือ ใครชนะไม่ได้ และคำว่าชนะ ไม่ได้หมายความว่าให้ตนอยู่ แต่ที่ให้ชนะ หรือ มีอำนาจ ก็พูดกันเหลือเกินเรื่องอำนาจ แต่ทำไมถึงไม่อยู่กันด้วยความเข้าใจ ความร่วมมือกัน เพื่อประชาชน เพื่อประเทศ ทุกคนอ้างว่ารักกัน รักประชาชนทั้งสิ้น ซึ่งตนก็รักทุกวัน คิดถึงประชาชนทุกวัน แต่การดูแลนั้น ติดเรื่องงบประมาณ ถ้าว่ารัฐบาลไม่สนใจจริงๆ ก็คงไม่แจก และคนไทยชอบติติง แต่ในต่างประเทศก็ชื่นชมเรา เราจะอยู่กันแบบง่ายๆ ไม่ได้ แต่ต้องอยู่ด้วยความเข้าใจ ส่วนโครงการมาตรา 33 เรารักกัน ถ้ามีเงินอีก ก็ต้องทยอยเอาเงินมาให้ประชาชน จะให้ไปบังคับธนาคารไม่ได้

ขอผู้ชุมนุมเห็นใจเจ้าหน้าที่

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง กรณีที่มีการชุมนุม ที่ชุมนุมอย่างแออัด ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแพร่เชื้อ โควิด-19 ว่าผู้ชุมนุมเองก็ชอบปลุกปั่นจนชิน การใช้กำลังต่อต้านกฎหมาย แล้วจะมีความสุขหรือไม่ ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ และกรุณาอยู่ในกฎหมาย รัฐธรรนูญต้องไม่ละเมิดคนอื่น จะชุมนุมก็อย่าใช้ความรุนแรง แผนดินนี้มีความศักดิ์สิทธิ์

นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งทายการชี้แจงว่า “จะไม่ชอบตนไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ชอบประเทศของท่านไม่ควร” เพราะประชาชนคือประชาชนของเรา ที่ต่างฝ่ายก็รักกัน ทั้งคู่ คำว่ารัก ประชาชนต้องไม่เลือกว่าใครเป็นใคร กฏหมายจะดำเนินการอยู่แล้ว ขอให้ทุกคนอยู่อย่างปกติในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยแบบไหนก็ตาม ต้องมีกฎหมาย ซึ่งทำให้สังคมสงบเรียบร้อย ก่อนจะกล่าวเป็นบทกลอนว่า

“ศึกนอกศึกไกลนั้นไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง หากคนไทยหันมาฆ่ากันเองเราจะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง”

ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงเรื่องการฉีดวัคซีน โควิด-19 ว่าวัคซีนที่คำนวณไว้แล้วน่าจะเพียงพอ และทยอยเข้ามา ซึ่งทั้งหมดจะต้องอยู่ในการควบคุมของรัฐก่อนจนกว่าทุกอย่างปลอดภัย ทั้งนี้ทราบว่าในที่นี้มีคนไม่อยากฉีด ก็ส่งรายชื่อมา แต่ต้องสวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่าง ระมัดระวังเมื่ออยู่ในพื้นที่ชุมชน

ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา : sanook


แชร์ข่าวนี้