“หนุ่ม กรรชัย” เผยอาการหัวใจผิดปกติ ทรุดเข้าโรงพยาบาล เปิดใจกล่อมคนร้ายก่อนมอบตัว

173
แชร์ข่าวนี้

ทำเอาแฟนๆ ถึงกับตกใจ เมื่อพิธีกรตัวพ่ออย่าง หนุ่ม กรรชัย เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติจนเกือบทรุดกลางรายการและต้องหามส่งโรงพยาบาลด่วน

ล่าสุด หนุ่ม กรรชัย ได้เปิดใจกับ sanook.com ถึงอาการในตอนนี้ พร้อมกับเปิดใจเหตุการณ์ที่เจ้าตัวมีส่วนในการพูดคุยเจรจากับคนร้ายอดีตทหารเกณฑ์ ที่สวมชุดลายพรางใช้อาวุธปืนยิงพนักงานร้านสะดวกซื้อเซเว่น ย่านลาดพร้าว และผู้ป่วยโควิดที่โรงพยาบาลสนามปทุมธานี เสียชีวิต 2 ศพ

โดย หนุ่ม กรรชัย เผยว่า “ที่เข้าโรงพยาบาลไปก็ไม่ได้เป็นอะไรมากครับ เป็นอาการที่อยู่ดีๆ หัวใจมันเต้นเร็วผิดปกติระหว่างทำรายการก็เลยไปหาคุณหมอ ทางคุณหมอก็ให้ยามาทาน บอกว่าเป็นภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติเนื่องจากระบบไฟฟ้าในหัวใจทำงานมาก ก็เลยทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติเกินไป แต่ทางคุณหมอไม่ได้บอกสาเหตุที่ชัดเจนว่าอะไรไปกระตุ้นให้เกิดภาวะผิดปกตินี้ อาจจะเป็นความชราภาพ (หัวเราะ) หรืออาจจะทำงานหนัก

ก่อนหน้านี้ผมเคยมีอาการเกี่ยวกับหัวใจเหมือนกัน ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นจากอาการนั้น แต่พอไปตรวจแล้วปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะเมื่อประมาณ 7 ปีก่อนผมมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะ แต่วันนี้ที่เป็นไม่ใช่หัวใจเต้นผิดจังหวะ แต่เป็นหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ทางคุณหมอให้ทานยาและพักผ่อนแต่วันนี้ผมก็ไปทำงาน ผมก็ถามคุณหมอว่าไปทำงานได้ไหม คุณหมอฝห้ประเมินอาการตัวเอง แต่หมอคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะเราไม่ได้เป็นตลอดเวลา เป็นแค่ในภาวะที่อยู่ๆ มันกระตุ้นขึ้นมา แต่ถ้ามันเป็นขึ้นมาอีกผมก็คงต้องไปติดเครื่องตามตัว เช็กแล้วว่าการทำงานของหัวใจเราเป็นยังไง ต้องตรวจให้ละเอียดกว่านี้ครับ

ส่วนเรื่องที่มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานของผมเรื่องคดีดีตทหารที่ก่อเหตุ จริงๆ ผมไม่ได้เข้าไปดูกระแสที่ออกมาเลย แต่เห็นในทวิตเตอร์ตอนค่ำๆ นิดเดียว เพราะว่าผมต้องพัก ก็เห็นทั้งคนชม และคนติติง (หัวเราะ) ซึ่งผมเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของทุกคน บางคนเขามองว่า ดีแล้ว

แต่ผมต้องออกตัวก่อนนะครับว่าผมไม่ได้ไปถือวิสาสะในการเจรจาให้เขามอบตัวอะไรแบบนั้นนะ เพราะจริงๆ ไม่ใช่หน้าที่ของผม เป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่มันเป็นความบังเอิญมากกว่าที่ผมได้มีโอกาสคุยกับเขาพอดี เพราะทางทีมงานของผมโทรไปหาเขาแล้วเขาไม่คุยด้วย แต่เขาจะคุยกับผม ผมก็เลยคุย พอฟังไปคำ สองคำแรกก็จะรู้เลยว่าเขาอยากมีใครสักคนนึงให้ระบาย ผมก็เลยเป็นคนนั้น ก็ให้เขาระบายมา แล้วก็คุยกับเขาว่ามอบตัวซะ มีพ่อแม่อยู่นะ พยายามพูดแบบนี้

ระหว่างคุยก็พยายามประเมินเขาอยู่ตลอด เขาจะพูดว่าเขาเห็นว่ามีคนเข้าไปด่าเขาในเฟซบุ๊ก ผมก็รู้เลยว่าเขาติดตามพฤติกรรมตัวเองอยู่ เกาะสถานการณ์ตัวเองอยู่ เพราะฉะนั้นก็เลยบอกทีมว่า ห้ามเอ่ยชื่อเขา ห้ามเอาเสียงที่เราคุยกัน หรือแม้กระทั่งภาพข่าวสดๆ ตอนนั้นออกอากาศ เพราะเขาติดตามอยู่ เขาจะรู้การทำงานทั้งหมด การทำงานของตำรวจจะยากขึ้น ผมก็เลยไม่ให้เอาออกอากาศ เพราะเราเคยมีบทเรียนมาแล้วคราวเกิดเหตุที่โคราช

พอตอนหลังระหว่างที่ทำรายการข่าวอยู่ ผมก็ติดต่อเขาไปว่าเป็นยังไง เขาก็บอกว่าแม่เขาโทรมาแล้ว เดี๋ยวเขาจะมอบตัวแล้ว ผมก็เลยบอกว่ามอบเลย แล้วก็ยกมือขึ้นไปนะ เอาปืนวางไว้นะ เป็นกำลังใจให้ก็แล้วกัน ประมาณนี้ ที่ผมพูดแบบนั้นเพราะเหมือนเป็นจิตวิทยาในการคุย เขาต้องการคนระบาย และการที่เขากำลังจะมอบตัว ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ อาจจะไม่มอบตัวก็ได้ ผมก็เลยบอกว่ามอบเลย ผมเป็นกำลังใจให้ ไม่มีอะไรหรอก ออกไปเลย ที่ต้องพูดเพราะเขามีตัวประกันอยู่ตรงนั้น มีญาติที่เป็นผู้ป่วยติดเตียง ผมกลัวว่าถ้าเกิดการต่อสู้กันมันจะไปเดือดร้อนคนรอบข้างเขา

สุดท้ายก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้ออกไปมอบตัวก่อน แล้วหลังจากนั้นจะเป็นเรื่องของตัวบทกฎหมาย หรือ อะไรก็ว่ากันไปตามเรื่องตามราว ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะมาถึงจุดนี้ คิดว่ามันเป็นแค่เหตุบังเอิญเท่านั้นเอง ตัวผมเองถ้าวันนี้มีคนมาบอกว่าขอเจรจา ขอคุยด้วยหน่อย ผมอาจจะไม่คุย เพราะเราไม่ได้เรียนมาทางนี้ เราไม่ใช่ตำรวจที่เชี่ยวชาญด้านนี้ การที่เราจะไปทำอะไรแบบนั้นก็ต้องคิดให้เยอะซะก่อน แต่เคสนี้เป็นเหตุเฉพาะหน้าจริงๆ และตอนระหว่างล้อมจับก็จะไม่มีการเอาภาพของเขามาออนแอร์เลย จนกระทั่งถูกจับแล้ว เราก็จะมาเล่าว่าเหตุการณ์เป็นยังไง

แต่ก็ยังมีคนเข้ามาว่าผมนะว่าจะไปให้พื้นที่เขาทำไม ซึ่งในมุมของผมมันเป็นการทำข่าว และผมไม่เอ่ยชื่อเขาเลย ผมถือว่าผมไม่ได้ให้พื้นที่เขา แต่การที่ผมพูดคุยกับเขาผมก็แค่เอามาให้ฟังว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ว่าเขามีความอัดอั้นตันใจจากเรื่องอะไรมา แต่สิ่งที่เขาทำไม่ถูกคือเขาไปฆ่าคนอื่นที่เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยครับ”

ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา : sanook


แชร์ข่าวนี้