ผบช.ภ.3วอนชาวบ้านช่วยแจ้งเหตุคนเมายาบ้า

216
แชร์ข่าวนี้

จากกรณีเมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุนายเอนก อายุ 33 ปี ซึ่งเมายาบ้าแล้วใช้จอบและไม้ก่อเหตุพ่อกับแม่ จนเสียชีวิต ขณะไล่ต้อนวันกลับเค้าคอกที่เลี้ยงไว้ในไร่มันสำปะหลัง ห่างจากบ้านประมาณ 2 กิโลเมตร ในเขตบ้านภูเวียง หมู่ที่ 8 ต.สารภี อ.โพธิ์ไทร จ.อุบลราชธานี ก่อนที่นายอเนกจะนำศพไปยัดไว้ในเตาถ่าน และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โพธิ์ไทร สามารถจับกุมตัวนายอเนกได้แล้วนำไปตรวจหาสารเสพติด พบปัสสาวะเป็นสีม่วงนั้น

 

ล่าสุด พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ได้กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ที่ผ่านมาผู้ก่อเหตุได้มีการซื้อยาบ้ามาเสพจนเกิดอาการหลอนและคลุ้มคลั่งบ่อยครั้ง จนกระทั่งมาก่อเหตุสลดฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตนเองในครั้งนี้ ซึ่งตนเองรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เรื่องแบบนี้ไม่ควรที่จะเกิดขึ้นเลย เพราะที่ผ่านมาทางตำรวจภูธรภาค 3 ได้มีพยายามจัดโครงการครูแดร์

 

โดยประสานงานกับหลายภาคส่วนลงพื้นที่ไปให้ความรู้ความเจ้าใจเรื่องโทษภัยของยาเสพติดให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังได้ขอความร่วมมือประชาชนให้ช่วยแจ้งเบาะแสพฤติกรรมบุตรหลานของตนเอง หรือเพื่อนบ้าน ที่เสพยาบ้าจนเกิดอาการคลุ้มคลั่ง เพื่อที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ลงพื้นที่ไปป้องปรามไว้ก่อนไม่ให้เกิดเหตุร้าย ขึ้นมาในภายหลัง แต่ที่ผ่านมามักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากประชาชนแจ้งเบาะแสเท่าที่ควร

 

อาจจะเป็นเพราะว่าตำรวจยังทำงานไม่เป็นเนื้อนาเดียวกันกับชาวบ้าน หรือชาวบ้านอาจจะกลัวว่าตำรวจไม่ทำงาน แล้วคนที่ถูกแจ้งว่าเมายาบ้ารู้เข้าจะกลับมาทำร้ายร่างกายได้ ซึ่งเรื่องนี้ตนเองได้มอบนโยบายกำชับกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทุกแห่ง ทุก สภ. ให้ทำงานเข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด เช่นสายตรวจ 1 ตำบล ต้องไปเยี่ยมบ้านเรือนประชาชนวันละอย่างน้อย 1 หลัง

 

ถ้าสายตรวจในเมืองอย่างน้อยต้อง 6 หลังคาเรือน เพื่อไปพูดคุย สอบถามปัญหาต่างๆ ที่ประชาชนพบ แล้วจดบันทึกรายงานให้ผู้กำกับการ สภ.ทราบ และขอให้ประชาชนไว้ใจตำรวจด้วย เพราะถ้าเกิดปัญหาการทำร้ายร่างกาย หรือการเสียชีวิตขึ้นมาก็ไม่พ้นตำรวจอยู่ดี แล้วพี่น้องประชาชนจะยอมปล่อยปละละเลยเรื่องเหล่านี้ให้ผ่านไปได้อย่างไร เฉพาะที่ตนเองมารับตำแหน่งผู้บัญชาการ

 

ตำรวจภูธรภาค 3 ประมาณ 6 เดือน ก็มีผู้คลั่งยาบ้าฆ่าคนตายไปแล้วถึง 5 ราย ซึ่งตนไม่อยากให้เกิดเลยแม้แต่รายเดียว จึงได้ดำเนินการจัดซื้อปืนช๊อตไฟฟ้าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดทุก สภ. พร้อมกับสั่งการให้ทุก สภ.ฝึกอบรมการใช้ปืนไฟฟ้า เพื่อที่จะเข้าไประงับเหตุลักษณะนี้ได้โดยไม่เกิดความสูญเสีย ดังนั้นถ้าชาวบ้านแจ้งตำรวจแล้ว ก็จะเป็นการป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้า หากตรวจปัสสาวะพบสีม่วง ก็จะได้นำไปช่วยบำบัดแก้ไข เมื่อเลิกยาได้แล้วก็จะได้ส่งกลับคืนสู่ครอบครัว มาช่วยกันทำมาหากินต่อไปจะดีกว่า

ส่วนเรื่องปัญหายาเสพติดในพื้นที่กำกับดูแลของตำรวจภูธรภาค 3 ทั้ง 8 จังหวัดนั้น ก็ต้องยอมรับว่ายังมีการระบาดของยาเสพติดอยู่จริง แต่ไม่มากนัก ซึ่งทางตำรวจภูธรภาค 8 ได้มีการสนธิกำลังกับหลายหน่วยงาน อาทิ ทหารกองทัพภาคที่ 2, ทหารเรือ, ป.ป.ส., ฝ่ายปกครอง และตำรวจน้ำ เป็นต้น ทำการสกัดกั้นเส้นทางลำเลียงยาเสพติดอย่างเข้มงวด

 

ซึ่งที่ผ่านมาเราพบว่าแหล่งผลิตยาเสพติดไม่ได้อยู่ในพื้นที่ประเทศไทย แต่อยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเขตจังหวัดรับผิดชอบของตำรวจภาค 3 มีแนวเขตชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้านหลายจังหวัด ทั้งหมดจะเป็นการนำยาเสพติดผ่านเข้ามาเพื่อที่จะผ่านไปภาคกลางและภาคอื่นๆ ของประเทศไทย ตั้งแต่ตนมารับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 ประมาณ 6 เดือน ได้มีการสกัดจับยาบ้าได้แล้วกว่า 2 ล้านเม็ด

 

ที่เป็นเช่นนี้เพราะเกิดจากการปราบปรามอย่างจริงจัง แต่ผู้ค้ายาเสพติดก็รู้ว่าเราจับได้อย่างไร เขาก็เปลี่ยนวิธีหลบเลี่ยงแบบใหม่ไปเรื่อยๆ ตำรวจก็ต้องมีการเปลี่ยนแผนไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องยาก แต่เราก็สามารถทำได้ตลอด ดังนั้นขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า ตำรวจภูธรภาค 3 ภายใต้การนำของตนเอง จะต้องปราบปรามยาเสพติดอย่างจริงจัง และตำรวจทุกคนจะต้องเข้าถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด เพื่อช่วยป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุสลดเมายาบ้าฆ่าผู้อื่นอีก

ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา : INNnews


แชร์ข่าวนี้