จี้อุทยานเร่งนำช้างออกชุมชนหลังอาละวาดต่อเนื่อง

207
แชร์ข่าวนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า 11 หมู่บ้านในตำบลกรุงชิง อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยเฉพาะในพื้นที่สวนทุเรียน สวนไม้ผลอื่นๆ สวนยางพาราและปาล์มน้ำมัน ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักต่อเนื่องกว่า 6 เดือนแล้ว จากช้างป่าเพศผู้ที่ชาวบ้านเรียกว่า “พลายไข่นุ้ย” ได้เข้าหาอาหารในพื้นที่การเกษตรกลายเป็นการทำลายพืชผลอย่างหนักโดยเฉพาะสวนทุเรียนทวายที่มีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 250 บาท ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมามีความเสียหายอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทำได้เพียงส่งเจ้าหน้าที่เข้าติดอุปกรณ์จีพีเอส ระบุตำแหน่งของช้างเท่านั้น การทำลายผลอาสินของชาวบ้านยังเกิดขึ้นโดยที่ไม่สามารถแก้ไขได้

โดยล่าสุดนั้นมีรายงานจากพื้นที่ระบุว่าช้างตัวนี้ชาวบ้านหลายจุดจำเป็นต้องใช้ปืนยิงขับไล่แล้วเนื่องจากมีพฤติกรรมที่ไม่ยอมกลับเข้าป่าและป้องกันการเข้าพื้นที่สวนทุเรียนที่ปลายแปลงมีการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อการส่งออกมูลค่าหลายล้านบาทซึ่งอาจสร้างความเสียหายรุนแรงเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันพบว่ามีบาดแผลฉกรรจ์ที่บริเวณงวง เหนือจากปลายงวงประมาณ 1-2 ฟุต ทำให้งวงรั่วการดื่มน้ำของช้าง หรือการใช้ปลายงวงเป็นไปด้วยความยากลำบาก และมีร่องรอยบาดเจ็บจากอาวุธปืนบริเวณผิวหนัง โดยยังที่ไม่มีการแก้ไขปัญหาอาจทำให้ช้างตัวนี้ถึงตายได้ในเวลาไม่นาน

นายจรินทร์ธร ควาญช้างอาวุโสชุมชนกรุงชิง ระบุว่าตรวจสอบข้อมูลช้างตัวนี้แล้วมั่นใจว่าไม่ใช่ช้างป่า แต่เป็นช้างเถื่อนหรือช้างเลี้ยงแบบผิดกฎหมายไม่มีตั๋วรูปพรรณช้าง มีการเลี้ยงอยู่แถบใกล้เคียงอุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นฝั่งจังหวัดสุราษฎร์ธานี แต่ทราบว่าคนเลี้ยงต้องคดีถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ ทำให้ไม่มีใครเลี้ยงช้างตัวนี้ต่อเนื่องจากดื้อหรือควบคุมไม่ได้จึงจำเป็นต้องปล่อยกลับเข้าป่า

ช้างตัวนี้เดินเรื่อยมาจากฝั่งสุราษฎร์ธานีร่วมปีแล้ว ก่อนมาปักหลักอยู่ในกรุงชิงประมาณ 6 เดือนสร้างความเสียหายต่อเนื่อง มีทางเดียวคืออุทยานต้องนำออกไปอยู่ในที่เหมะสมเพราะเขาไม่ได้มีนิสัยเป็นช้างป่าแล้ว หรือให้ผู้ที่เลี้ยงช้างจ่ายภาษีค่าตั๋วช้างแล้วนำไปเลี้ยงต่อเชื่อว่ามีควาญที่รับไปดูแลได้ขอให้เป็นขั้นตอนที่ถูกกฎหมาย

ขณะที่นายมงคล ภักดีสุวรรณ์ นายอำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุว่าปัยหาสะสมมาต่อเนื่อง จนขณะนี้เป็นมาตรการสุดท้ายคือขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำช้างออกจากพื้นที่ไปไว้ยังที่เลี้ยงช้างทราบจากอุทยานว่ามีที่ลำปาง ซึ่งปัญหานี้ได้เสนอตั้งแต่วันแรกว่าช้างมีนิสัยแบบนี้ต้องเสนอผู้บังคับบัญชาไป และต้องขอให้มีการนำช้างออกจากพื้นที่เพราะความเดือดร้อนขยายวงมากขึ้นและช้างมีนิสัยที่ไม่ใช่ช้างป่าแล้ว

ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา : INNnews


แชร์ข่าวนี้