“วัคซีนต้านไวรัสโคโรนา” เริ่มทดสอบแล้วที่ซีแอตเติล

245
แชร์ข่าวนี้

ประกาศของสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ (National Institute of Allergy and Infectious Diseases) ระบุว่า วัคซีนต้านไวรัสโคโรนาสายพันธ์ใหม่ได้เริ่มทดสอบในร่างกายมนุษย์เป็นครั้งแรกแล้ว เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายหลักคือเพื่อทดสอบว่าวัคซีนมีความปลอดภัยหรือไม่ หากพบว่าปลอดภัย ก็จะดำเนินการศึกษาประสิทธิภาพของวัคซีนต่อไป

วัคซีนดังกล่าวมีชื่อเรียกว่า “mRNA-1273” ผลิตโดยบริษัท Moderna และการทดสอบจะทำโดยสถาบันวิจัยด้านสุขภาพไคเซอร์ เพอร์มาเนนท์ วอชิงตัน (Kaiser Permanente Washington Health Research Institute) ในซีแอตเติล ซึ่งได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่ทดลอง ตั้งแต่ก่อนที่จะมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาในสหรัฐอเมริกา

ดร.แอนโธนี ฟอซี ผู้อำนวยการสถาบันกล่าวในแถลงการณ์ว่า การทดสอบวัคซีนครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เนื่องจากนักวิจัยสามารถใช้ความรู้เดิมที่เกี่ยวข้องกับไวรัสโคโรนา และนำไปสู่โรคระบาดอื่นๆ เช่น โรคซาร์ส และไวรัสเมอร์ส ในการคิดค้นวัคซีน

Moderna ใช้สารพันธุกรรมที่เรียกว่า “เมสเซนเจอร์ อาร์เอ็นเอ” (messenger RNA) เพื่อสร้างวัคซีน โดย ดร.บาร์นีย์ แกรห์ม ผู้ช่วยผู้อำนวยการของสถาบันวิจัยวัคซีน กล่าวว่า ในทางหนึ่ง เราโชคดีที่ไวรัสโคโรนาระบาด เพราะนักวิจัยมีความพร้อมบางส่วนแล้ว หากเป็นไวรัสชนิดอื่นที่ระบาด เราอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าหลายเดือนในการสร้างวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ และสาเหตุที่สถาบันเลือกทำงานร่วมกับ Moderna ก็เนื่องจากเทคโนโลยีการใช้ RNA สามารถผลิตวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว และทางศูนย์วิจัยวัคซีนก็มุ่งเน้นที่การเตรียมพร้อมเพื่อรับมือการระบาดใหญ่ โดยมีเป้าหมายคือการเตรียมพร้อมรับมือกับตระกูลของไวรัสที่มีผลกระทบต่อมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ยังมีบริษัทอื่นๆ ที่ใช้วิธีการที่แตกต่างกัน ก็กำลังพยายามผลิตวัคซีนต้านไวรัสโคโรนา โดย Moderna เป็นเจ้าแรกที่เข้าสู่การทดสอบทางคลินิก

การทดสอบวัคซีนต้านไวรัสโคโรนาชุดแรก จะรับสมัครผู้ใหญ่ อายุตั้งแต่ 18 – 55 ปี ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง จำนวน 45 คน แต่จะคนจะได้รับวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 28 วัน และผู้เข้าร่วมทดสอบจะได้รับการตรวจเช็คร่างกายว่าวัคซีนนั้นปลอดภัยและสามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพื่อสร้างแอนติบอดี ที่สามารถยับยั้งไวรัสไม่ให้แบ่งตัวและป้องกันการเจ็บป่วยในร่างกาย

ดร.แกรห์มกล่าวว่า ผู้เข้าร่วมทดสอบ 4 คน ได้รับวัคซีนตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา และอีก 4 คน ได้รับวัคซีนในวันอังคาร จากนั้นจะมีการหยุดเพื่อเฝ้าระวังอาการ ก่อนที่จะให้ผู้เข้าร่วมการทดสอบอีกกลุ่มเข้ารับวัคซีน

หลังจากนั้น จะมีการติดตามอาการของผู้เข้ารับการทดสอบวัคซีนเป็นเวลา 1 ปี แต่สเตฟาน แบนเซล ประธานบริหารของ Moderna กล่าวในการสัมภาษณ์ว่า ข้อมูลความปลอดภัยจะเปิดให้มีการเข้าถึงในช่วง 2 – 3 สัปดาห์ หลังจากที่มีการให้วัคซีน หากวัคซีนมีความปลอดภัย Moderna จะขออนุญาตจากองค์การอาหารและยา ให้ดำเนินการในขั้นต่อไปทันที แม้ว่าการทดสอบในขั้นแรกยังไม่เสร็จสิ้นก็ตาม นอกจากนี้ ทาง Moderna ก็ได้สั่งซื้ออุปกรณ์เพิ่มเติมแล้ว เพื่อให้สามารถผลิตวัคซีนได้ถึง 1 ล้านโดส

แต่แม้ว่าจะมีพัฒนาการที่รวดเร็ว และวัคซีนมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการต้านไวรัส แต่ก็จะยังไม่สามารถนำวัคซีนออกมาใช้ได้เป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี

การศึกษาและพัฒนาวัคซีนนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม ทันทีที่นักวิทยาศาสตร์ชาวจีนโพสต์เกี่ยวกับลำดับพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ทางอินเตอร์เน็ต นักวิจัยของ Moderna และสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติ พบว่า บางส่วนของลำดับที่มีโปรตีนลักษณะคล้ายตะปูอยู่บนพื้นผิวของไวรัส ที่ทำหน้าที่จับกับเซลล์ร่างกายมนุษย์ ทำให้ไวรัสสามารถเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้

ลำดับที่มีโปรตีนรูปตะปูเป็นพื้นฐานของการพัฒนาวัคซีน ซึ่ง Moderna ไม่จำเป็นต้องใช้ไวรัสในการสร้างวัคซีน แต่ใช้วิธีการสังเคราะห์การขยายตัวของ RNA เพื่อสร้างวัคซีนและฝังลงในอนุภาคนาโนของไขมัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ Moderna มีวัคซีน 1 กลุ่ม ที่พร้อมจะส่งให้กับสถาบันโรคติดเชื้อ สำหรับใช้ในการทดสอบ และเมื่อวันที่ 4 มีนาคม องค์การอาหารและยาก็อนุญาตให้เริ่มการทดสอบ

ขอขอบคุณ

ข้อมูล :The New York Times

ภาพ :AFP


แชร์ข่าวนี้