เมื่อวันที่ 23 มี.ค. นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลมีมาตรการล็อกดาวน์กรุงเทพฯ เพราะต้องการให้ประชาชนหยุดอยู่บ้าน เพื่อไม่ให้มีการเคลื่อนไหวของผู้คนว่า มาตรการดังกล่าวอาจมีผลดีได้ระดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการประกาศหยุดการทำงานในเขตกรุงเทพฯ ทำให้มีการเคลื่อนไหวเดินทางของคนจากกรุงเทพฯ ไปสู่ต่างจังหวัด ซึ่งจะเป็นการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19 ทางอ้อม อาจทำให้การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ขยายตัวมากยิ่งขึ้น จากที่เคยแพร่ระบาดอย่างหนักเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ กลายเป็นขยายตัวไปสู่ต่างจังหวัดอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีชีวิตของคนต่างจังหวัดสามารถรับเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ง่ายกว่าคนในกรุงเทพ ฯ
นายเทพไท กล่าวต่อว่า จากประสบการณ์ตรงของตนในการลงพื้นที่ในเขตเลือกตั้ง จะพบว่ายังมีกิจกรรมที่จำเป็นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ของชาวบ้าน คืองานบำเพ็ญกุศลศพ ซึ่งไม่สามารถที่จะยกเว้นได้ เพราะเป็นประเพณีที่สำคัญของคนในชนบท จะมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้ที่เคารพนับถือ ต้องไปร่วมแสดงความเสียใจ หรือร่วมไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับการแพร่เชื้อไวรัสโควิด-19
สำหรับวิถีชีวิตของคนในชนบทจะมีจุดอ่อนในการป้องกันตัวเองใน 3 ประการคือ
1.หน้ากากอนามัยสำหรับการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 หาซื้อได้ยาก และมีราคาแพง การใช้ 1 วันต่อ1ชิ้น เป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้คนในชนบท 2.ความคุ้นเคยของคนชนบทในการใช้หน้ากากอนามัย ทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่คล่องตัว เป็นภาระสำหรับการใช้ชีวิตประจำวัน และ3.คนในชนบทรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้น้อยกว่าคนในเมือง และมีความเข้าใจในวิธีป้องกันตัวและรับรู้ถึงภัยอันตรายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้น้อย ทำให้ไม่เห็นความสำคัญในการป้องกันโดยการใช้หน้ากากอนามัยเท่าที่ควร
ส่วนมาตรการกักตัวเอง 14 วันของคนที่เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปสู่ต่างจังหวัดนั้น นายเทพไท กล่าวว่า เป็นเรื่องยากในทางปฏิบัติ เพราะคนในต่างจังหวัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนระดับรากหญ้า มีวิถีชีวิตแบบปากกันตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ บางคนหาเช้ากินเช้าด้วยซ้ำไป ไม่มีเงินเก็บเหมือนคนชั้นกลาง การกักขังตัวเองนานถึง 14 วันของคนในต่างจังหวัดไม่สามารถปฏิบัติจริงได้ จึงอยากให้รัฐบาลได้เตรียมหามาตรการรับมือปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สำหรับการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่ต่างจังหวัดต่อไป
