นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยก่อนที่จะอำลาตำแหน่งในวันที่ 12 พ.ค.ว่า สิ่งที่ภูมิใจมากที่สุด คือการเป็นพนักงาน ปตท.มา 38 ปี ทำในสิ่งต่างๆ ซึ่ง ปตท.ได้รับรางวัลเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่เสียใจที่สุด คือต้องมาแก้ปัญหาทุจริต ที่มีอดีตพนักงานร่วมกับนักการเมืองบางคน, คนภายนอก นำเอาสมบัติสาธารณะไปเป็นของตนเอง และทำการทุจริต เช่น คดีปลูกปาล์มน้ำมัน ในอินโดนีเซีย, การจ่ายสินบนของบริษัท โรลส์-รอยซ์ แม้ยังไม่มีการพิพากษา แต่เป็นบทเรียนที่ต้องระวังต่อไป กลุ่ม ปตท.ได้ทำแผนลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น โดยปรับแผนลงทุน และมีการติดตามทุกเดือน จากเดิมปรับแผนการลงทุน ทุกๆ 6 เดือน ล่าสุดเตรียมเสนอคณะกรรมการ ปตท.วันที่ 30 เม.ย. เพื่อขอปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เป็นหลักพันล้านบาท
“ขณะนี้ ปตท.ต้องกอดเงินสดไว้เป็นหลัก โครงการลงทุนในอนาคต ต้องทบทวนใหม่ เช่น โครงการอะโรเมติกส์ของบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) มูลค่า 40,000 ล้านบาท, โครงการปิโตรเคมีในสหรัฐฯของบริษัท พีทีทีโกลบอลเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือจีซี ที่เป็นโครงการผลิตเอทิลีน 1.5 ล้านตันต่อปี มูลค่า 200,000 ล้านบาท โดยกลุ่ม ปตท.ได้รับผลกระทบ จากการใช้พลังงานที่ปรับลดลง โดยเฉพาะราคาน้ำมัน ส่งผลให้ขาดทุนสต๊อกไตรมาสที่ 1 จำนวนมาก คาดว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 30-40 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จากต้นปีประเมินอยู่ที่ 55-65 ดอลลาร์ฯ”
