เมียหลวงฟ้องแพ่งเจ้าสาว ยังให้โอกาสผัวกลับใจ แม่สามีลั่นไม่ยอมรับสะใภ้คนใหม่

222
แชร์ข่าวนี้

เมียหลวงฟ้องแพ่งเจ้าสาว ยังให้โอกาสผัวกลับใจ แม่สามีลั่นไม่ยอมรับสะใภ้คนใหม่ ทางสภ.ต้นสังกัดเจ้าบ่าวจ่อตั้งกรรมการสอบ

(19 ก.พ.64) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นางนิภาพรรณ (สงวนนามสกุล) อายุ 33 ปี ถือทะเบียนสมรสเข้าไปบุกงานแต่งของบ่าวสาวคู่หนึ่ง โดยระบุว่าฝ่ายชายคือสามีของเธอที่จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง แต่แอบมาแต่งงานกับสาวอื่น จนเกิดภาพที่มีการโต้เถียงกับฝ่ายชาย ที่เธอระบุว่าเป็นสามีแต่ฝ่ายชายและเจ้าสาวกลับทำท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว และไล่เธอออกจากงาน ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้า วันที่ 18 ก.พ. 2564 ที่ผ่านมา

นางนิภาพรรณ เล่าว่าชายแต่งชุดเครื่องแบบสีขาวที่เข้าพิธีสมรสกับเจ้าสาวในคลิปคือสามีตำรวจของเธอ อายุ 34 ปี ซึ่งเป็นสามีที่จดทะเบียนสมรส และอยู่กินกับเธอมา 16 ปี โดยเธอเองก็อาศัยอยู่ที่บ้านของพ่อแม่สามีด้วย และมีลูกสาวด้วยกัน 2 คน คนโตอายุ 15 ปี คนเล็กอายุ 5 ขวบ ก่อนหน้านี้ตนเองรู้ระแคะระคายมาประมาณ 1 ปี ที่สามีเริ่มมีพฤติกรรมคบกับผู้หญิงคนนี้ แต่ยังทำตัวเหมือนปกติคือเช้าไปทำงานเลิกงานกลับบ้าน

แต่มาวันนี้เพื่อนๆ ได้แอบบอกตนเองว่า ผู้หญิงในคลิปประกาศว่าจะแต่งงานวันนี้ ตนเองกับแม่สามีจึงลองเข้าไปดูที่บ้านผู้หญิงคนดังกล่าวตามคลิป ซึ่งก็เจอภาพบาดใจเข้าจริงๆ จึงนำทะเบียนสมรสออกมาแสดง พร้อมทั้งไลฟ์เพื่อประกาศให้สังคมได้รู้ถึงสิ่งที่สามีทำกับตนและครอบครัว จนเกิดคลิปที่เป็นไวรัลอย่างรวดเร็วที่เธอโชว์ทะเบียนสมรสต่อหน้าบ่าวสาว สามีไล่เธอออกจากงาน และล่าสุดแม่สามีสุดทนตบไปที่ศีรษะลูกชายที่กำลังนั่งเข้าพิธี เพราะโมโหที่เตือนสติแล้วไม่ฟัง

ซึ่งเมื่อวานนี้นางนิภาพรรณพร้อมนายอาสาเดินทางไปยังศาลคดีเด็กเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยนาท เพื่อยื่นฟ้องดำเนินคดีกับเจ้าสาวตามคลิป เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่ง ส่วนตัวสามียังไม่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษ เพราะยังให้โอกาสกลับมาดูแลครอบครัว เพราะสงสารลูก โดยทางด้านแม่สามีเองก็ประกาศชัดเจนว่า จะไม่ยอมรับใครเป็นลูกสะใภ้นอกจากแม่ของหลานสาวทั้ง 2 คน

ล่าสุดผู้สื่อข่าวยังคงติดตามความเคลื่อนไหวของตำรวจหนุ่มต้นเรื่อง โดยลงพื้นที่ไปยังสถานีตำรวจ เพื่อขอพบกับตำรวจหนุ่ม แต่เจ้าหน้าที่แจ้งว่าตำรวจนายดังกล่าวได้ขอลาพักผ่อนไปก่อนหน้าที่จะมีเรื่อง คือตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ยังไม่กลับมาทำงาน และไม่สามารถติดต่อได้ไม่ทราบว่าไปพักอาศัยอยู่ที่ใด โดยตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การลาพักผ่อนสามารถทำได้ปีละไม่เกิน 20 วัน ซึ่งตำรวจนายดังกล่าวยังไม่แจ้งว่าจะกลับมาทำงานเมื่อไหร่ เนื่องจากเครียดกับกระแสข่าว และปัญหาที่ถาโถมทั้ง 2 บ้าน

ด้าน พ.ต.อ.ปฏิกรณ์ หาญหัตถกิจ ผู้กำกับการ สภ.เมืองชัยนาท ต้นสังกัดตำรวจหนุ่ม เปิดเผยว่าจากเรื่องที่เกิดขึ้น ถือว่ากระทบต่อภาพลักษณ์ของตำรวจ ทางต้นสังกัดจึงมีคำสั่งให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นขั้นตอนเริ่มต้นของการสอบสวนทางวินัยหากพบว่ามีมูลความผิดที่ขัดต่อวินัยตำรวจ ซึ่งก็จะมีโทษในหลายระดับตามความรุนแรงของความผิดที่มีตั้งแต่โทษกักบริเวณ ไปจนถึงให้ออกจากราชการ แต่ก็ต้องรอผลการสืบสวนข้อเท็จจริงก่อนว่าจะออกมาอย่างไร จะนำไปสู่การเอาผิดทางวินัยระดับใดหรือไม่ต่อไป

จากนั้นเวลา 08.30 น. วันที่ 19 ก.พ. 2564 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยังบ้านของนางนิภาพรรณ เจ้าสาวที่ไลฟ์สดกลางงานแต่ง เพื่อสอบถามเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว พบว่า ตัวของนางนิภาพรรณ ไม่อยู่บ้าน ไปทำธุระที่กรุงเทพฯ แต่ก็พบกับทางครอบครัว ใช้ชีวิตตามปกติ ลูกสาวคนเล็ก 5 ขวบ ไม่ได้ไปโรงเรียน อยู่กับตาและยาย

ด้านนายนพดล อายุ  54 ปี พ่อของนางนิภาพรรณ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้เป็นตำรวจ เป็นคนดี ช่วยกันทำมาหากิน ลำบากมาด้วยกัน ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ แต่พอเป็นข้าราชการก็เปลี่ยนไปเป็นหน้ามือหลังมือ เริ่มมีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเป็นธรรมดาของผู้ชาย ที่ไม่ชอบคือเรื่องที่ชอบมาด่าลูกสาวตน ทะเลาะกันก็เคยจะขับรถมาชน พอมารู้ว่าถึงขั้นผูกแขนแต่งงาน ก็รู้สึกสงสารลูกและหลาน จะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรกัน ตนก็ได้ต่อเติมบ้านไว้รอแล้ว เผื่ออยู่บ้านฝั่งสามีแล้วลำบากใจ

แต่แม่ของตำรวจหนุ่มนั้น ดีกับลูกสาวตนมาก รักเหมือนลูกหลาน ไม่อยากให้อยู่แยกกัน อยากให้อยู่กันเป็นครอบครัว ตนก็ไม่ว่าอะไร แต่พอเรื่องมันเกิดขึ้นแล้วก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร ต้องให้ลูกมาอยู่บ้านนี้ไปก่อน ถามว่าโกรธไหม ก็มีบ้าง เพราะเสียหายกันทุกฝ่าย อยากฝากไปถึงลูกเขยว่า ให้คิดดีๆ คนเราทำผิดแล้วก็กลับมาได้ เลือกให้ดีๆ เพราะถ้าเลือกฝั่งนู้น ก็จะเสียครอบครัวไป ส่วนตัวนั้นพร้อมให้อภัยเสมอ ถ้าคิดได้แล้วก็มาคุยมาขอขมาลาโทษ แล้วกลับมาเป็นครอบครัวกันใหม่ แต่ขอย้ำว่าถ้ามีเรื่องผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องอีก จะไม่ยอมแล้ว จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด

ขอขอบคุณ
แหล่งที่มา : sanook


แชร์ข่าวนี้