นายกฯ ยัน โยกงบ เข้างบกลาง 8.8 หมื่นล้าน คุ้มค่า โปร่งใส

232
แชร์ข่าวนี้

“บิ๊กตู่” แจงกลางที่ประชุมสภา ยันใช้งบ 8.8 หมื่นล้าน จาก พ.ร.บ.โอนงบประมาณ คุ้มค่า โปร่งใส เกิดประโยชน์สูงสุด ต่อประเทศชาติ และ ประชาชน

เมื่อวันที่4 มิ.ย.เวลา 09.45 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวนหลีกภัย ประธานสภาฯ ทำหน้าที่เป้นประธานการประชุม เพื่อพิจารณา ร่างพ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ…. วาระแรก ตามที่ครม.เป็นผู้เสนอ วงเงิน 88,452,579,900 บาท เพื่อโอนงบประมาณที่หน่วยรับงบประมาณต่างๆได้รับ ตาม พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำ ปี 2563 ไปตั้งเป็นงบกลาง

รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นำไปใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เดินทางมาร่วมชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นการของบประมาณดังกล่าวด้วยตัวเอง โดย

ก่อนเริ่มประชุมนายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานประธานกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ชี้แจงว่า ฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านได้ตกลงจะใช้เวลาพิจารณารับหลักการ 1 วัน ใช้เวลาพิจารณา 10ชั่วโมง โดยแบ่งเวลาให้ฝ่ายรัฐบาล 4ชั่วโมง และฝ่ายค้าน 6ชั่วโมง

จากนั้นเวลา 10.00 น.พล.อ.ประยุทธ์ ชี้แจงหลักการและเหตุผล ว่า ร่างพ.ร.บ.โอนงบฯ คือให้โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประะมาณ 2563 ของหน่วยรับงบประมาณเป็นบางรายการ ไปตั้งจ่ายเป็นงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 88,452,597,900 ล้านบาท โดยงบฯของหน่วยรับงบประมาณ 39,893.1111 ล้านบาท

งบฯรายจายบูรณาการ 13,56.4868 ล้านบาท และงบฯรายจ่ายเพื่อการชำระหนี้ภาครัฐ 35,303.0000 ล้านบาท ซึ่งการพิจารณาในวันนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด เพราะถือเป็นภัยพิบัติร้ายแรงของประเทศและเศรษฐกิจโดยรวม

ที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้จ่ายในงบระมาณกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินการตามแผนเร่งด่วนต่างๆ เช่นการแก้ปัญหาภัยพิบัติ อุทกภัย และภัยแล้ง ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากกรณีมีเหตุฉุกเฉินรือจำเป็นอื่น

และโรคติดเชื้อโควิด ส่งผลให้งบฯกลางเงินสำรองจ่ายที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอจึงมีความจำเป็นต้องโอนงบฯของหน่วยรับงบประมาณ ที่ได้รับการจัดสรรไปตั้งไว้ในรายการเงินสำรองจ่าย ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนการดำเนินภารกิจของหน่วยรับงบประมาณผ่านกลไกลต่างๆ เพื่อสนองตอบการแก้ไขปัญหาให้ทันต่อสถานการณ์

นายกฯ กล่าวต่อว่า กฎหมายโอนงบประมาณรายจ่ายฉบับนี้มีความสอดคล้องกับกรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐรวมทั้งทำให้การบริหารร่ายจ่ายประจำปี งบปรมาณ 63 มีประสิทธิภาพคล่องตัวทันต่อการแก้ไขสถานการณ์และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดกับประชาชนและร่างพ.ร.บ.ดงกล่าวยังสอดคล้องกับ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 มาตรา 35 (1)

ที่กำหนดให้งบประมาณรายจ่ายของหน่วยรับงบประมาณ ที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายจะโอนหรือนำไปใช้สำหรับหน่วยรับงบประะมาณอื่นไม่ได้เว้นแต่มีพ.ร.บ.ให้โอนหรือนำไปใช้ได้ อย่างก็ตามงบประมาณก้อนนี้ได้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ หลักการ และเป็นไปตามมติครม.เมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา

โดยงบประมาณและรายงานที่นำมาจัดการพ.ร.บ.โอนงบฯฉบับนี้ ประกอบด้วย 1.รายจ่ายประจำในทุกงบรายจ่าย ที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายและไม่มีข้อผูกพันหรือสามารถชะลอข้อผูกพันได้ ณ วันที่ 7 เม.ย.2563 อาทิค่าใช้จ่ายในนการรสัมมนา การฝึกอบอรม การประชาสัมพันธ์ การจ้างที่ปรึกษา ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศ

และการจัดงานกิจกรรมต่างๆ 2.รายจ่ายลงทุนในทุกงบรายจ่าย อาทิ รายการปีเดียวที่ยังไม่ประกาศดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างภายในวันที่ 7 เม.ย.2563 และหรือไม่สามารถลงนามได้ทันในวันที่ 31 พ.ค. 2563 และ 3.รายการที่ชะลอการดำเนินการได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสีบหายต่อราชการ หรือไม่สามารถดำเนินการได้ในปีงบประมาณ 2563

“รัฐบาลคำนึงถึงการบริหารงบประมาณรายจ่ายในไตรมาสที่3 และไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณ 63 ตามแนวนโยบายพื้นฐานของรัฐที่จำเป็นในการสนับสนุนค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์และสวัสดิการเพื่อสร้างความเป็นธรรมในสังคมรวมถึง

การพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องคำนึงถึงการสร้างงาน จึงหวังว่าสมาชิกจะให้การสนับสนุนและรับหลักการ เพื่อนำงบฯไปใช้แก้ปัญหาจำเป็นเร่งด่วนอย่างคุ้มค่าและโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาาติและประชาชน” นายกฯ กล่าว

cr. ข่าวสด


แชร์ข่าวนี้